วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การวิจัยและพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูให้มีความสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้โรงเรียนเทศบาล 1 วัดศรีเมือง

ชื่อเรื่อง     :    การวิจัยและพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูให้มีความสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้โรงเรียนเทศบาล  1  วัดศรีเมือง       
ชื่อผู้ศึกษา  :   นายถวัลย์  โพธิ์ประสาท
ปีที่ศึกษา    :   ปีการศึกษา  2552
สังกัด         :    เทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนายก
บทคัดย่อ
                   การวิจัยและพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูให้มีความสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้โรงเรียนเทศบาล    วัดศรีเมืองครั้งนี้  เพื่อวิจัยและพัฒนารูปแบบในการพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมควบคู่ไปกับการนิเทศ          โดยใช้สายชั้น เป็นฐานโรงเรียนเทศบาล  1  วัดศรีเมือง  กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่  ผู้บริหารสถานศึกษา  จำนวน  4  คน  และครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนเทศบาล  1  วัดศรีเมือง  จำนวน  63  คน
                   ผลการวิจัย  พบว่า 
                   1.  การประเมินความสามรถในการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของครูผู้สอนโรงเรียนเทศบาล  1  วัดศรีเมืองคิดเป็นร้อยละ  100
                    2.  รูปแบบในการพัฒนาครูให้มีความสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้  ประกอบด้วยขั้นตอนที่ 1  รับสมัครบุคลากรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ  ขั้นตอนที่ 2  ทำความเข้าใจกับผู้บริหารโรงเรียนและผู้รับผิดชอบ  ขั้นตอนที่ 3  สร้างความตระหนักให้กับครูทั้งโรงเรียน  ขั้นตอนที่ 4  ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน  ขั้นตอนที่ 5  ครูนำกระบวนการเรียนรู้ที่ได้รับไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนของตนเอง  ขั้นตอนที่ 6  กระบวนการนิเทศติดตาม  ผู้บริหารโรงเรียน  คณะกรรมการนิเทศของโรงเรียน (ฝ่ายวิชาการ)  ผู้วิจัย  ขั้นตอนที่ 7  เปิดคลินิกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน  ขั้นตอนที่ 8  ครูดำเนินการแก้ปัญหา/พัฒนาผู้เรียนต่อไปพร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไข ขั้นตอนที่ 9  จัดส่งชิ้นงานให้คณะกรรมการตรวจสอบ  ขั้นตอนที่ 10  ปรับปรุงแก้ไขโดยครูเจ้าของผลงานวิจัย  ขั้นตอนที่ 11  รวบรวมผลงาน  ขั้นตอนที่ 12  จัดประชุมสัมมนาเผยแพร่ผลงาน
                    3.  สายชั้นอนุบาลปีที่ 1 – 3  ผลการพัฒนาครูด้านการวิจัยสามารถวิเคราะห์สรุปผล           เป็นรายด้านได้ดังนี้
                    ด้านบุคลากร  พบว่า  ครูมีความรู้ความเข้าใจ สามารถทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ 
                    ด้านการบริหารจัดการ  ด้านบริหารจัดการ พบว่า อยู่ในเกณฑ์ดีเอื้อต่อการทำวิจัยใน            ชั้นเรียน ส่งผลให้ครูผู้สอนสามารถทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาดารเรียนรู้ของผู้เรียนได้ 
                    ด้านการจัดการเรียนการสอน  จากผลการดำเนินการพัฒนาครู ด้านการเรียนรู้ของครูในโครงการฯ  พบว่า  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ควบคู่กับการวิจัยได้เป็นอย่างดี 
                    ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน  ครูในสายชั้นอนุบาลมีความรู้ ความสามารถในเรื่องการวิจัย และสามารถ  จัดทำวิจัยในชั้นเรียนได้
                    4.  สายชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3  การพัฒนาครูด้านการวิจัยสามารถวิเคราะห์สรุปผลเป็นรายด้านได้ดังนี้
                    ด้านบุคลากร  พบว่า  มีการพัฒนาความรู้และทักษะด้านการวิจัยได้อย่างรวดเร็ว มีความมั่นใจ เมื่อได้รับการนิเทศเพิ่มเติมจากนักวิจัยและผู้บริหารสถานศึกษาแล้ว นอกจากนี้ ครูผู้สอนที่ทำการวิจัยฯ ทุกคนมีความรู้ ทักษะ ความเข้าใจ และมั่นใจในการนำรูปแบบการวิจัยมาพัฒนาการเรียนได้เป็นอย่างดีทุกคน 
                    ด้านการบริหารจัดการ  พบว่า  รูปแบบการบริหารจัดการโดยเฉพาะกระบวนการนิเทศ ติดตาม กำกับ และประเมินผลให้งานไปสู่เป้าหมาย ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ ได้นำรูปแบบการบริหารโดยประยุกต์รูปแบบ PDCA กำกับการบริหารนิเทศ  ติดตาม  พบว่า  การบริหารจัดการลักษณะนี้  ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาครูให้สามารถวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี 
                    ด้านการจัดการเรียนการสอน  พบว่า  การพัฒนาครูให้สามารถ ทำการวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ส่งผลให้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูผู้สอนเปลี่ยนแปลงไป โดยครูผู้สอนมีรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
                    ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน  พบว่า ครูทุกคนมีความเข้าใจ มีทักษะ และมีความมั่นใจ สามารถดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ทุกคน ซึ้งต่อไปครูทุกคนจะสามารถนำรูปแบบการดำเนินงานวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนมาประยุกต์ใช้ในจัดการเรียนการสอน โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญมุ่งแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนโดยใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
                    5.  สายชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6  การพัฒนาครูด้านการวิจัยสามารถวิเคราะห์สรุปผลเป็นรายด้านได้ดังนี้
                    ด้านบุคลากร  พบว่า  มีการพัฒนาความรู้และทักษะในเรื่องการวิจัยเพื่อพัฒนา  การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างดี มีความมั่นใจ เมื่อได้รับการนิเทศติดตามจากนักวิจัยและผู้บริหาร  สถานศึกษา นอกจากนี้ ครูทุกคนมีความตระหนักและมีความมั่นใจในการนำรูปแบบการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนทุกคน
                    ด้านการบริหารจัดการ   พบว่า  ในการบริหารจัดการให้ครูมีความสามารถในการ
วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน พบว่า เป็นไปตามเป้าหมายอย่างมีคุณภาพ มีระบบการจัดการ
การนิเทศติดตามที่มีประสิทธิภาพ มีกระบวนการนิเทศติดตามที่เป็นแบบกัลยาณมิตร พูดคุย
แลกเปลี่ยนกัน ส่งผลให้การดำเนินการวิจัยของครูผู้สอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไป
อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนยังสามารถนำรูปแบบการพัฒนาให้ครูสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการ
เรียนรู้ของผู้เรียนดังกล่าวไปประยุกต์ใช้บริการจัดการงานด้านอื่นได้เป็นอย่างดี
                    ด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่า การพัฒนาครูให้สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการ
เรียนรู้ของผู้เรียนในโรงเรียนเทศบาล 1 วัดศรีเมือง สามารถนำกระบวนการวิจัยผสมกลมกลืนไปกับการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ครูได้นำความรู้และทักษะการวิจัยไปพัฒนาการเรียน
การสอนทำให้ครู ได้ตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
                    ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน พบว่า ครูทุกคนมีความรู้ความเข้าใจ
มีทักษะและมีความมั่นใจ สามารถดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ทุกคน ซึ่งต่อ
ไปครูทุกคนจะสามารถนำรูปแบบการดำเนินการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้
อย่างแท้จริง โดยถือว่าการประเมินผลในด้านการวิจัยอยู่ในระดับดีมาก และเป็นที่น่าพอใจเป็น
อย่างมากสำหรับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
                    6.  สายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3  การพัฒนาครูด้านการวิจัยสามารถวิเคราะห์สรุปผลเป็นรายด้านได้ดังนี้
                    ด้านบุคลากร  พบว่า  คณะครูอาจารย์ทุกท่านมีความรู้ในเรื่องการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างดียิ่ง
                    ด้านการบริหารจัดการ พบว่า  มีการนิเทศการทำงานการวิจัยของครูที่เข้าร่วมโครง
การตามหมวดวิชาต่างๆ เป็นระยะๆ ซึ่งสามารถส่งผลให้ครูสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนได้อย่างเป็นระบบชัดเจนอย่างดียิ่ง
                    ด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่า คณะครูผู้สอนสายชั้นมัธยมศึกษาปีที่  1 – 3  สามารถนำการวิจัยเพื่อพัฒนาดารเรียนรู้ของผู้เรียนผสมผสานกลมกลืนไปกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี สามารทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้มีปะสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ คณะครูของสายชั้นยังมีความมั่นใจในการนำกระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนต่อไป ส่งผลให้ครูทุกท่านสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างดียิ่ง
                    ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน  พบว่า  ครูอาจารย์ทุกกลุ่มสาระของ
สายชั้นได้ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้อย่างดียิ่ง และยังสามารถจัดรวบรวมและทำรายงานด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้นำเสนอในงานสัมมนาวิชาการ ในโอกาสครบรอบ 4 ปี การปฏิรูปการ
ศึกษา  ซึ่งเป็นผลการวิจัยให้ครูสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ความสามรถได้ผลอย่างดียิ่ง

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชื่อเรื่อง : การประเมินโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก

ชื่อเรื่อง     :    การประเมินโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพโรงเรียนเทศบาล  ๑ วัดศรีเมือง               สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก       
ชื่อผู้ศึกษา  :   นายถวัลย์  โพธิ์ประสาท
ปีที่ศึกษา    :   ปีการศึกษา  2552
สังกัด         :    เทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก
บทคัดย่อ
                   การประเมินโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพครั้งนี้  มุ่งศึกษาการประเมินผล               ด้านบริบทหรือสภาพแวดล้อม  ด้านปัจจัยป้อนหรือปัจจัยเบื้องต้น  ด้านกระบวนการ  และ               ด้านผลผลิตของโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพโรงเรียนเทศบาล  ๑ วัดศรีเมือง  สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินโครงการ  คือ  บุคลากร   จำนวน  11  คน  ผู้แทนชุมชน จำนวน  5  คน  ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน  207  คน  และนักเรียน   จำนวน  94  คน รวมทั้งหมด  317  คน  เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์  แบบมาตราส่วนประมาณค่า  5 ระดับ  มีค่าความเชื่อมั่น .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่คะแนนเฉลี่ย ( )  ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน  (SD) 
                   ผลการประเมินโครงการส่งเสริมสุขภาพโรงเรียนเทศบาล  ๑ วัดศรีเมือง  สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก  พบว่า 
                   1.  ด้านบริบทหรือสภาพแวดล้อม  ตามความคิดเห็นของบุคลากร  เกี่ยวกับความสอดคล้องเหมาะสมของวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการกับสภาพปัจจุบัน  โดยรวมอยู่ในระดับมากผ่านเกณฑ์การประเมิน  จึงมีความเหมาะสมที่จะดำเนินโครงการ
   2.  ด้านปัจจัยป้อนหรือปัจจัยเบื้องต้น  ตามความคิดเห็นของบุคลากร  เกี่ยวกับความสอดคล้องเหมาะสมของวัสดุอุปกรณ์  งบประมาณ  บุคลากร  และวิธีการดำเนินงานตามโครงการ  โดยรวมอยู่ในระดับมากผ่านเกณฑ์การประเมิน  จึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้โครงการประสบผลสำเร็จ
   3.  ด้านกระบวนการ  ตามความคิดเห็นของบุคลากร  และผู้แทนชุมชน  เกี่ยวกับความสอดคล้องเหมาะสมของกระบวนการดำเนินงานตามโครงการ โดยรวมอยู่ในระดับมากผ่านเกณฑ์การประเมิน  แสดงว่าการดำเนินงานตามแผนเป็นไปได้ด้วยดี
   4.  ด้านผลผลิต  ตามความคิดเห็นของบุคลากร  ผู้แทนชุมชน  ผู้ปกครองนักเรียน  และนักเรียน  เกี่ยวกับความสอดคล้องเหมาะสมของผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานตามโครงการ  โดยรวมอยู่ในระดับมากผ่านเกณฑ์การประเมิน ผลการดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ
   5.  ด้านปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ  ตามความคิดเห็นของบุคลากร  ผู้แทนชุมชน  พบว่า  บุคลากรมีภาระงานมาก  สถานที่ออกกำลังกายมีไม่เพียงพอ  จำนวนห้องปฏิบัติกิจกรรม   ไม่เพียงพอ  วัสดุอุปกรณ์ไม่เพียงพอ  งบประมาณน้อย  และบุคลากรมีไม่เพียงพอ
                   6.  การประเมินโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง  สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก  ด้านผลผลิต  โดยสัมภาษณ์  ผู้ที่เกี่ยวข้อง  ได้แก่  บุคลากร  ผู้แทนชุมชน  ผู้ปกครองนักเรียน  และนักเรียน  พบว่า  โครงการดำเนินการได้ผลตามต้องการ นักเรียนมีสุขภาพดี  โรงเรียนให้การบริการนักเรียน  ผู้ปกครองและชุมชนพร้อมทั้งอาคารสถานที่ออกกำลังกาย  และสิ่งแวดล้อม  มีความเหมาะสมทำให้นักเรียนมีสุขภาพดี  พร้อมที่จะได้รับความรู้ใหม่  ทั้งได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและเป็นสาระสำคัญต่อโครงการ

ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)

การพัฒนารูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง  สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก  โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)
-------------------------------------
ชื่อเรื่อง     การพัฒนารูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง  สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก  โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)

ชื่อ          นายถวัลย์  โพธิ์ประสาท
ปีการศึกษา           2551

                                                                                บทคัดย่อ
                         การพัฒนารูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง  สังกัดเทศบาลเมือง
นครนายก  จังหวัดนครนายก  โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)  2)เพื่อทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้ แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)  3) เพื่อประเมินความพึงพอใจ ของครูผู้สอน นักเรียน   และผู้ปกครองนักเรียน ที่มีต่อรูปแบบการพัฒนาการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC) 
                         วิธีการวิจัยมี  3 ขั้นตอนดังนี้  1) สร้างรูปแบบการบริหารงานเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)โดยการศึกษาวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง  สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ   ตรวจสอบความตรงและความเหมาะสมของการสร้างรูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC) โดยการจัดประชาพิจารณ์ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ   ตัวแทนครู  คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครอง และตัวแทนนักเรียน รวมจำนวนผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์ 60  คน  2) สร้างรูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)  ดำเนินการใช้รูปแบบการบริหารโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)  ในโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง   สังกัดเทศบาลเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก  3) ประเมินความพึงพอใจของครูผู้สอน  คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  นักเรียน และผู้ปกครองที่มีต่อการพัฒนารูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง  โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC)   รวมจำนวนทั้งสิ้น 450  คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่  แบบสัมภาษณ์  และแบบสอบถาม  ค่าสถิติที่ใช้ได้แก่  ค่าร้อยละ  ค่าเฉลี่ย  และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
                        
ผลการวิจัยพบว่า       
    1. รูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC) พบว่ามีความตรงและเหมาะสมมาก  โดยประกอบด้วย  4    กลยุทธ์ได้แก่  1) มุมมองด้านการเงิน  2) มุมมองด้านผู้เกี่ยวข้อง  3) มุมมองด้านการบริหารภายใน  4) มุมมองด้านการเรียนรู้
    2. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองโดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC) พบว่า มุมมองด้านการเงินทำให้โรงเรียนมีงบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมต่างๆ   อย่างเพียงพอมีรวมทั้งได้รับความร่วมมือจากชุมชนในการบริหารงานโรงเรียน  ส่วนมุมมองด้านผู้เกี่ยวข้องทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจและความถนัดของตนเอง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์    ที่โรงเรียนกำหนด รวมทั้งมีทักษะการคิดวิเคราะห์พัฒนาขึ้น มุมมองด้านการบริหารภายในและ  มุมมองด้านการเรียนรู้และการเติบโตทำให้ครูมีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน  สามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนได้หลากหลาย  โดยเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ  มีการนำผลการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                3. ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนารูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมือง โดยประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Scorecard (BSC) พบว่า ครู  นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการพัฒนารูปแบบการบริหารงานโรงเรียนเทศบาล ๑ วัดศรีเมืองอยู่ในระดับมากที่สุด